วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์...?

 

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์



สวัสดีคะนักเรียนทุกคน ช่วงนี้ดูเหมือนว่าหลายโรงเรียนก็จะปิดกันแล้วนะคะ คราวนี้เรามาเตรียมวางแผนการใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์กันดี กว่าคะ ลองอ่านบทความนี้ดูซิคะ J
การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ในช่วงชีวิตของคนเราวัยรุ่นจะเป็นช่วงเวลาที่เราสามารถ หาประสบการณ์ดีงามให้กับชีวิตได้มากเพราะสำหรับเด็กวัยรุ่นไทย ส่วนใหญ่ยังไม่มีความจำเป้นที่จะต้องหารายได้เอง ส่วนใหญ่ยังอยู่กับ
พ่อแม่ จะมีอยู่บ้างที่ทำงานและหาเลี้ยงตนเอง ดังนั้นวัยรุ่นจำนวนมาก มีเวลาว่างจากการเรียนการทำงาน ถ้าวัยรุ่นไม่ใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์ในทางที่สร้างสรรค์ ก็จะทำให้เป็นคนขี้เบื่อ ขี้เซ็ง ง่าย ๆ เพราะการอยู่เฉย ๆ จะทำให้เราไม่มีความสุขและอาจใช้ความคิดฟุ้งซ่าน ถูกชักนำไปในทางที่ไม่เหมาะสมได้ง่าย เช่น เสพยาเสพติด เที่ยวเตร่ ใช้จ่ายเงินทองไปในการแต่งตัวเกินความจำเป็น วัยรุ่นจึงควรฝึกฝนตนเอง ที่จะใช้เวลาว่างทำกิจกรรม ต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ประโยชน์ที่วัยรุ่นจะได้รับ จากการทำกิจกรรม หรือ เข้าร่วมกิจกรรมที่สร้างสรรค์  ทำให้เรามีความสุข เพราะในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เราได้พัฒนา อารมณ์ เป็นการเสริมสร้างให้เกิดความสุข ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน  ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ชีวิต เช่น การไปทัศนศึกษา
การท่องเที่ยว การอยู่ค่ายพักแรม การอ่านหนังสือ ศึกษาวรรณกรรมต่างๆ  การมีส่วนร่วมกับกลุ่มบุคคลต่าง ๆ เสริมคุณค่าของบุคคล และเป็นการฝึกทักษะในการทำงานหรืออยู่ร่วมกับบุคคลอื่น เช่น การทำงาน กลุ่มสัมพันธ์ การเล่นกีฬา ดนตรี  ลดความเครียด ความวิตกกังวล  เสริมความเป็นพลเมืองดี

นอกจากนั้น สำหรับวัยรุ่นแล้ว การทำกิจกรรมต่าง ๆ โดย ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ยังเป็นการช่วยตอบสนองความต้องการ ของวัยรุ่น ซึ่งต้องการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ การยอมรับ การได้รับการยกย่องจากผู้อื่น การพักผ่อนหย่อนใจคลายเครียด ช่วยให้วัยรุ่นเติบโตขึ้นพร้อมกันทั้งด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ และสังคม ช่วยให้มีความรับผิดชอบ รู้จักการปรับตัว

กิจกรรมยามรู้สึกท้อแท้ใจ
วัยรุ่นจำนวนมากมักไม่รู้จะทำอะไรในยามว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เกิดความรู้สึก เซ็ง เบื่อ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดหวังบ่อย ๆ ทำอะไรไม่สำเร็จ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้วัยรุ่นไม่อยากทำอะไร ในยามนี้ วัยรุ่นไม่ควรปล่อยให้ตนเองอยู่ว่าง เพราะจะยิ่งทำให้เกิดคึวามรู้สึก ท้อแท้ใจมากขึ้น ดังนั้น วัยรุ่นควรลงมือทำอะไรก็ได้ที่จะช่วยให้ตนเอง เกิดกำลังใจ

กิจกรรมต่อไปนี้เป็นข้อเสนอที่วัยรุ่นสามารถนำไปปฏิบัติได้ตาม ความพอใจของแต่ละคน แล้วจะพบว่าเวลาว่างที่เคยซึมเศร้า กลับเปลี่ยนเป็นเวลาแห่งความสุขกับกิจกรรมต่าง ๆ เลยทีเดียว

1. ฟังเพลงดัง ๆ จะเปิดจากวิทยุหรือเทปบันทึกเสียง ก็เลือกตามความพอใจ ถ้าร้องเพลงได้ แถมเสียงก็ดี ร้องเอง หรือจะแค่ฮึมฮัมคลอตามก็ไม่ผิดกติกา ขยับตัวขยับขาตามใจชอบ ในสถานการณ์ที่เหมาะสม
2. หาวิธีทำอะไรก็ได้ที่ต้องออกแรงขยับตัว แขน ขา เช่น ออกไปเดินเล่น วิ่งเหยาะ ถ้ามีความสามารถทางการเล่นกีฬา อยู่แล้ว ออกไปฝึกฝนให้ความสามารถด้านนี้เพิ่มขึ้น ว่ายน้ำ ตีแบดมินตัน ปิงปอง ฯลฯ

3. หางานอดิเรกทำ ลองสำรวจตนเองว่าเราทำอะไรเป็นบ้าง เราชอบทำอะไร เช่น เล่นดนตรี เย็บปักถักร้อย ประดิษฐ์เศษวัสดุ การทำอาหาร ขนม เขียนโคลงกลอน เขียนนิยาย

4. อ่านหนังสือที่ชอบ อาจจะซื้อมา ยืมมา จากที่เคยสะสมไว้ หรือไปที่ห้องสมุดใกล้บ้าน

5. ปรับปรุงสภาพแวดล้อม จัดห้องใหม่ เลื่อนโต๊ะ ตู้ ย้ายเก้าอี้ จัดตู้เสื้อผ้าให้สะอาด นำสิ่งที่ไม่ได้ใช้ไปทิ้งบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมเราเสียใหม่

6. ปรับปรุงตัวให้สดชื่น ทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้ตนเองดูสวยขึ้น หรือดูดีขึ้น เช่นตัดผม ดูแลรักษาใบหน้าให้สะอาด สำรวจเล็บมือ เล็บเท้าของตนเอง

7. ทำความสะอาด ซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ให้อยู่ในสภาพที่น่าใช้ซ่อมเสื้อผ้า สอยชายกระโปรง ขัดล้างรองเท้า ปัดฝุ่นกระเป๋า ฯลฯ

8. ย้อนรอยอดีต นึกถึงอดีตที่ทำให้เรามีความสุข เช่น นำอัลบั้มที่เคยไปเที่ยวสนุกสนานมาชื่นชม คิดถึงความสามารถ ที่น่าภาคภูมิใจ เคยสอบได้ที่ 1 ร้องเพลงได้ไพเราะ เคยเป็น ดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน เคยให้ความช่วยเหลือเพื่อนในการ แก้ปัญหา ฯลฯ

9. เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม ไปหาเพื่อนเพื่อเล่นเกมสนุก ๆ คลายเครียดติดต่อเพื่อนฝูงที่ไม่ค่อยได้พบปะ ไปทำบุญที่วัด

10. เข้าหาธรรมชาติให้มาก ปลูกต้นไม้ จัดแจกันดอกไม้ ซื้อปลาตู้มาเลี้ยง หาลูกสุนัขมาเลี้ยง

11. อยู่อย่างสงบบ้าง ถ้าลองทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้วยังไม่ได้ผล ก็จงนั่งนิ่ง ๆ สงบสติอารมณ์ใช้ปัญญาไตร่ตรองข้อเท็จจริง อย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป้นทาสของอารมณ์ที่ไม่เกิดผลดี ลุกขึ้นแล้วบอก
กับตนเองว่าเราจะไม่ใช่คนจมอยู่กับความทุกข์ เราจะเป็นคนที่มีความสุข บอกตนเองย้ำลงไปให้จิตใต็สำนึกได้รับรู้ด้วย

แหล่งที่มา   http://www.trueplookpanya.com/true/webboard_detail.php?postid=2916

การฝึกจิตให้มีความสงบและเบิกบาน..?

การฝึกจิตให้มีความสงบและเบิกบาน
 

เมื่อความคิด ความเชื่อและอารมณ์ที่แกว่งขึ้นลงทำให้จิตเราไม่เป็นกลาง เราจึงต้องอาศัยความสงบภาย

ในเพื่อฝึกจิตใจตนเองให้ปล่อยวาง มีการให้อภัย ทำให้จิตใจเรารู้สึกเย็นสบาย สดใส เบิกบาน มีความ

เฉลียวฉลาด ซึ่งจะนำพาเราไปสู่ความสุขอันแท้จริงที่มีอยู่ภายใน เป็นความสุขที่ไม่มีเงื่อนไข
เราจะใช้ความสงบเป็นตัวดูจิตใจตนเอง 
    การฝึกสมาธิมีหลายวิธี หลายแบบ หลายแนว วิธีการฝึกไม่ใช่สมาธิ สมาธิจริงๆคือการสังเกตดูจิตใจตนเองได้อย่างเป็นกลาง เราจะใช้ความสงบเป็นตัวดูจิต ใจตนเอง ความสงบจะไม่กระโดดเข้าไปอยู่ในความคิดหรือติดอยู่ในอารมณ์ เพียงแค่ดูใจเฉยๆแบบสบายๆ ไม่เครียดกับการสังเกต ฝึกให้จิตอยู่กับปัจจุบัน เพราะธรรมดาจิตจะไม่ชอบอยู่กับปัจจุบัน จิตจะคิดนั่นคิดนี่ เมื่อมีข้อมูลต่างๆมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย จิตก็จะปรุงแต่งอารมณ์โต้ตอบกับข้อมูล บุคคล สิ่งของหรือสถานการณ์ต่างๆ ทำให้มีความรู้สึกชอบ(ดีใจ) หรือไม่ชอบ(เสียใจ)กับสิ่งเหล่านั้น จิตจึงมีอาการแกว่งไปมา ขึ้นลง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา จิตจะพยายามเปรียบเทียบข้อมูลและสร้างอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจกับสภาวะ จิตจะนึกถึงอดีตและคิดถึงเรื่องอนาคต สิ่งพวกนี้จึงทำให้ใจเราไม่อยู่กับปัจจุบันและขาดความเป็นกลางอยู่เสมอ ดังนั้นเราจึงหันมาฝึกใจตนเองให้มีความสงบ ไม่แกว่งไปมากับความคิดหรืออารมณ์ ทำให้เราได้สัมผัสกับความเป็นกลางของจิตในปัจจุบัน เป็นจิตใจที่มีอิสระและปล่อยวางความทุกข์ต่างๆออกไปได้อย่างง่ายดาย เพราะจิตไม่ไปเกาะเกี่ยวกับความคิดหรืออารมณ์ เพียงแต่สังเกตสิ่งพวกนี้จากความสงบที่เป็นกลาง

 

แหล่งที่มา http://www.meditationguide.org/thai/index9.html

วิธีลดต้นขาก่อนเข้านอน [ ต้นขาใครใหญ่ อย่าพลาดดด~]


วิธีลดต้นขาก่อนเข้านอน [ ต้นขาใครใหญ่ อย่าพลาดดด~]

 
    การมีต้นขาใหญ่คงเป็นปัญหามากสำหรับใคร หลายๆคนเลยใช่มั้ยล่ะ โดยเฉพาะพวกสาวๆ (จะบอกว่าเราก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันแหละ - -^ อานะ)  ใส่อะไรแล้วก็ไม่สวย~

แล้วการลดต้นขายังขึ้นชื่อว่าเป็นส่วนที่ลดยากที่สุดในร่างกาย (ถ้าไม่เชื่อก็สามารถพิสูจน์ได้)

พอดีวันนี้ไปเจอวิธีลดต้นขามาจากในเว็บก็เลยเอามาฝากกันค่ะ

วิธี นี้เป็นวิธีง่ายๆไม่มีอะไรมากมาย แต่จะแนะนำอย่างนึงคือถ้าคิดจะทำแล้วก็ให้ทำอย่างสม่ำเสมอและทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นผลเพราะกว่าขาจะเล็กก็หลายเดือนเลยล่ะนะ(อย่าเพิ่งท้อกันนะ) พอเห็นผลแล้วก็ต้องทำต่อไปอีก(ถ้าไม่อยากได้ขาใหญ่ๆกลับคืน) 

วิธีลดต้นขาก็ง่ายๆ คือ
1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังยกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง(เค้าว่ากันว่ายิ่งเร็วยิ่งดี+ยิ่งมากก็ยิ่งดีด้วย)
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง

 

แหล่งที่มา  http://www.dek-d.com/board/view/1235297/

13 วิธีการออมเงินอย่างง่าย..?

13 วิธีการออมเงินอย่างง่าย


            ในเวลาปัจจุบัน เงินเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับคนทุกคน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเราใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดหรือฟุ้มเฟือย ปัจจัยชนิดนี้ก็จะหมดไปโดยฝากความลำบากไว้ให้กับเราในอนาคต ดังนั้นการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อยเพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบเจอกับ เจ้าปีศาจที่ไม่เป็นที่ประสงค์ของคนทุกคนคือ ความจนกับความลำบาก นั้นเอง
            วิธีการในการออมเงิน สามารถทำได้ดังนี้
1.      ลง ทุนซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ้มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
2.      หัดรู้จักคำว่า ความจำเป็น กับ น่ารัก เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่คำว่าน่ารักแล้วอยากได้อย่างเดียวนั้นไม่พอดังนั้นจึงควร คิดพิจารณาก่อนหยิบยื่นตรงแคชเชียร์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริงๆ เห็นสิ่งอื่นๆที่สวยกว่าเราไม่สนและเหมาะสมกับสภาพเงินที่มีก็สมควรซื่อได้ เพื่อสนองความต้องการ
3.      วิธีนี้สำหรับคนที่ชอบจดชอบเขียนคือทำ แบบบันทึกรายรับรายจ่าย อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป พอครบกำหนดก็รวมรายรับรายจ่าย วิธีนี้สามารถตรวจต่อมความฟุ้มเฟือยของเราได้เป็นอย่างดี
4.      หากรู้ตัวว่าต้องไปในที่ๆมีแต่ของฟุ้มเฟือย แพงหูฉีกจนแม้แต่เกิดใหม่ซักกี่ชาติก็ไม่สามารถหาตังค์มาซื้อได้ ให้ท่านยืนสงบนิ่งซักแป็บ แล้วเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องพกให้เมื่อยกุงเกงแถมประหยัดอีกต่างหาก
5.      ซื้อ กระเป๋าที่มีช่องลับเยอะๆสำหรับพกไปเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของสุรุ่ย สุร่าย เอาไว้ซ่อนเงินแล้วเวลาเกิดอยากได้อะไร พอเปิดกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียเงิน ประหยัดแบบวัยรุ่นยุคใหม่ ได้ทั้งความเท่ ประหยัดและปลอดภัยจากมิจฉาชีพ (แต่ต้องไม่ซ่อนจนลืมที่ซ่อนนะ)
6.      เอา เงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยม ปลอดภัยสุดๆเมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้นิรภัยหนา กว่าฟุต
7.      ฝึก ทำงานพิเศษ หารายได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อแบเงินขอพ่อแม่ให้ลำบากท่าน วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว เพื่อฝึกให้เห็นถึงความลำบากของการหาเงินและคุณค่าของเงินที่หลายคนหลงลืมไป
8.      ซื้อของลดราคา สามารถหาได้ง่ายตามศูนย์การค้าทั่วไป (แม้แต่คนเขียนยังชอบ)
9.      เอา ล่ะสิ วิธีนี้เหมาะกับแม่บ้านหัวไวหรืออนาคตนักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ คิดเลขเร็วไง...เวลาซื้ออะไรก็รวมรายจ่ายไว้ในสมอง ใช้ประกอบกับข้อสองวิธีนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น เผลอๆโตขึ้นได้ติดอันดับกินเนสบุคด้านคิดเลขเร็ว
10.  อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากปากโฆษกขี้โว (ขี้โม้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชอบชวนคุยและพวกที่ยิ่งคุยเข้าหูเราก็ยิ่งต้องระวังกันใหญ่
11.  ฝากเงินไว้ที่เพื่อน นัดเวลาเอาเงินคืน ถือเป็น ATM  เคลื่อนที่ไปในตัว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อเราจริงๆเดี๋ยว ATM จะกลายเป็นตู้หยอดเหรียญแทน (ให้แล้วไม่ได้คืนอะดิ)
12. อยู่ว่างๆร้องเพลง "คนมีตังค์" ดังๆ ได้ทั้งความสนุก สู้ชีวิต เผลอๆได้ (เศษ) ตังค์จริงๆด้วย
13.เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ เศรษฐกิจพอเพียง ในข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาด ตกบกพร่อง ถวายเป็นความภักดีเพื่อพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย
แหล่งที่มา   http://www.dek-d.com/board/view/979352/

6 วิธีการดูแลเส้นผมให้สวยเริ่ดด้วยตัวเองที่บ้าน

6 วิธีการดูแลเส้นผมให้สวยเริ่ดด้วยตัวเองที่บ้าน

6 วิธีการดูแลเส้นผมให้สวยเริ่ดด้วยตัวเองที่บ้าน
       >>สำหรับสาวผมแห้ง เส้นเล็กลีบแบน ติดหนังศีรษะ เมื่อได้เห็นเส้นผมเงางาม นุ่มสลวยๆ พลิ้วไหวตามสายลมของสาวผมสวยทั้งหลายแล้ว คงจะหันมามองเส้นผมตัวเองแล้วรู้สึกแอบอิจฉาเล็กๆ อยู่ในใจ พร้อมกับทุ่มเงินซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผมมากมาย รวมถึงเข้าใช้บริการดูแลบำรุงผมของซาลอนชั้นนำ เพื่อทำให้ผมแห้งเสียของคุณ ชุ่มชื่นสุขภาพดีขึ้น วันนี้เรามีเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณสามารถช่วยฟื้นผมแห้งเสียให้กลับมาสุขภาพดีได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านของคุณเอง
       
        เริ่มจากวิธีแรก คือการดูแลผมและรักษาผมของคุณในชีวิตประจำวันอย่างถูกสุขลักษณะ โดยคำนึงถึงหลักดูแลผมตามธรรมชาติ 6 ข้อนี้
       

       1.เวลาสระผมให้นวดหนังศีรษะไปด้วย โดยการใช้มือขยุ้มเบาๆ ที่หนังศีรษะ เพื่อช่วยให้เกิดการหมุนเวียนโลหิตทั่วบริเวณหนังศีรษะแถมยังทำให้น้ำมันตาม ธรรมชาติไปหล่อเลี้ยงเส้นผมได้ดียิ่งขึ้น
       

       2.หลังการสระผม ควรใช้ผมให้แห้งก่อนหวี เพราะการหวีขณะที่ผมเปียกจะทำให้เส้นผมขาดง่าย หากจำเป็นควรใช้หวีไม้ซี่ห่างเพื่อลดการขาดและหลุดร่วงของเส้นผม
       

       3.ส่วนผู้ที่นิยมไดร์ผมให้แห้ง ควรใช้ไดร์เป่าผมเป่าในลักษณะบนลงล่าง จากโคนผมไปสู่ปลายผม เพราะจะช่วยให้เกล็ดผมจะเรียงตัวตามธรรมชาติ ทำให้เส้นผมนุ่มสลวย แลดูเงางามและไม่ชี้ฟู
       

       4.การใช้ไดร์เป่าผมด้วยโรลไฟฟ้าและ รีดผมให้ผมเรียบตรงด้วยเครื่องรีดไฟฟ้าควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความ ร้อนด้วยเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาผมแห้งเสีย เพราะความร้อนสูงของเครื่องมือเหล่านี้จะทำให้เส้นผมถูกทำลายอย่างมาก
       

       5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสีต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ที่จะเข้าไปทำลายความแข็งแรงของเส้นผมได้
       

       6.หากมีกิจกรรมกลางแจ้ง เส้นผมต้องเผชิญกับแสงแดดแรงกล้า ควรป้องกันเส้นผมจากแสงแดดและรังสียูวีโดยการสวมหมวกหรือชะโลมด้วยผลิตภัณฑ์ ปรับสภาพเส้นผมก่อนออกแดดเสมอ
6 วิธีการดูแลเส้นผมให้สวยเริ่ดด้วยตัวเองที่บ้าน
       นอกจาก 6 วิธีข้างต้นแล้ว ยังมีวิธีช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่มีปัญหาผม แห้ง แตกปลาย ขาดความเงางาม ไม่มีชีวิตชีวา ด้วยตำรับสูตรหมักผมแสนง่ายที่ลงมือทำเองได้ที่บ้าน เพื่อคืนผมเสียให้กลับมานุ่มสวยแลดูเงางามเป็นประกาย
       
       :: How to @ Home
       

       เริ่มจากนำใบชะอมประมาณหนึ่งกำมือมา ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยใหญ่ คนให้เข้ากันแล้วทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นคัดใบชะอมทิ้ง เหลือเก็บไว้แต่น้ำเท่านั้น หลังสระผมด้วยแชมพูและครีมนวดผมที่คุณชื่นชอบ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้พอหมาดๆ แล้วนำมาเช็ดเส้นผมให้ทั่ว พร้อมทำการนวดหนังศีรษะไปด้วย ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอน ส่วนน้ำชะอมที่เหลือสามารถแช่เก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อนำมาใช้ในครั้งต่อไปได้
       

       เพียงวิธีง่ายๆ เหล่านี้ก็จะช่วยทำให้ผมที่แห้งเสียของคุณกลับมาดูดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายนัก เพียงแค่ใช้การเอาใจใส่และสละเวลาเล็กๆ น้อยๆ ดูแลผมของคุณในแต่ละวันเท่านั้นเอง


แหล่งที่มา   http://www.manager.co.th/celebonline/viewnews.aspx?NewsID

5 เคล็ดลับในการต้มผัก

5 เคล็ดลับในการต้มผัก

ใครชอบกินผักต้มจิ้มน้ำพริกยกมือขึ้น!!!!! ก็ แหม ...ผักบ้านเรามีให้เลือกกินกันมากมายหลายอย่างหลายชนิดนี่นา กินกันทั้งปีก็กินไม่ครบทุกชนิดก็ว่าได้ แถมยังมีประโยชน์อีกอักโข มีเกลือแร่ วิตามินมากมายที่เราจะได้รับจากการกินผักใครจะปฏิเสธได้ลงคอ แต่รู้ไหมว่าผักแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดใบแข็ง บางชนิดใบอ่อน บางชนิดสุกง่ายบางชนิดสุกยาก ดังนั้นวิธีการต้มผักแต่ละชนิดจึงควรแตกต่างกันออกไป หากต้มผักไม่ถูกวิธี คุณค่าที่เราจะได้รับจากผักนั้นก็จะมลายหายไป

เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการปรุงอาหารจากผักด้วยวิธีการต้ม
  •  พยายามใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการต้มผัก 
  • ก่อนจะนำผักลงต้มควรจะรอให้น้ำเดือดเสียก่อน จึงใส่ผักลงไป ไม่ควรแช่ไว้ในนั้น
ต้มผักต้องใช้น้ำเดือดๆ หยุดผักที่ต้มหรือลวก ด้วยน้ำเย็นที่ใส่น้ำแข็ง เพื่อให้คงความอร่อยและสีสันที่สวยงาม
  • ผักสีเขียวควรทำให้สุกโดยวิธีการลวกหรือให้ใส่ลงไปในน้ำเดือด และพอน้ำเดือดอีกทีก็ให้ตักขึ้นทันที
  • ผัก ที่เป็นหัว เช่น หัวผักกาด แครอต ควรต้มในน้ำเดือดอ่อนๆ และ ควรต้มทั้งหัวไม่ควรหั่นหรือฝาน จะช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ได้มากกว่าการหั่นแล้วนำไปต้ม
  • ทุกครั้งที่ต้มผักควรปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำเดือดและผักสุกเร็วขึ้น ผักยิ่งอยู่ในน้ำร้อนนานๆ คุณค่าก็จะน้อยลง
เคล็ดลับง่ายๆเพียงเท่านี้ นอกจากผักต้มจะอร่อยแล้ว ยังได้คุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้ว

แหล่งที่มา   http://www.foodietaste.com/cookingtips_details.asp?id=28

โรคอ้วน..ที่น่ากลัว


 โรคอ้วน...ลงพุง

ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เป็นเบาะกันกระแทก หากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว
โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่
  1. อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
  2. โรคอ้วนลงพุง[ abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
  3. โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย
การวัดปริมาณไขมันในร่างกายไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมากมักจะทำในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อการวิจัย
  1. การชั่งน้ำหนักในน้ำแล้วนำมาคำนวนหาปริมาณไขมันและปริมาณกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ แต่ก็ทำในห้องปฎิบัติการณ์เท่านั้น
  2. BOD POD เป็นการตรวจโดยเครื่อง x-ray รูปไข่ เครื่องจะคำนวณหาปริมาณกล้ามเนื้อ ไขมันจากความเข้มของเนื้อเยื่อ
  3. DEXA: Dual-energy X-ray absorptiometry (DEXA) เป็นการใช้ x-ray หาปริมาณไขมัน

นอกจากนั้นก็มีวิธีหาปริมาณไขมันได้อีกหลายอย่างการวัดเส้นรอบเอว
  • ใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขนเป็นต้น
  • Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา
โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่
ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อ ให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วน้ำหนักก็จะขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย เช่นกัน การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติ อย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็น โดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้ การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน
ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ ไขมัน cholesterol ,triglyceride LDL ระดับน้ำตาล ละความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียว กันทั่วโลกไม่ได้ ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนี มวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ตารางเมตร เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงสูง
จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้ สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน

แหล่งที่มา  http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/obesity/index.htm